การหมดไฟในการเทรด
เพื่อนๆทุกคนเคยเจอสถาณการณ์แบบนี้มั้ย อยากจะเทรดแต่ว่าก็ไม่มีไฟในการเทรดหรือแบบขี้เกียจที่จะเข้าไปเทรด ปกติเราอาจจะเป็นคนที่ชอบเทรดชอบดูกราฟมากๆ แต่ว่าพอมาพักหลังๆ ก็ไม่อยากแม้แต่จะเข้าไปดูกราฟเลย ผมไม่รู้ว่าเพื่อนๆเคยเจอปัญหานี้รึป่าวนะครับ นั้นก็คือถ้าเกิดว่าเราหมดไฟในการเทรดนั้นจะทำอย่างไรดี ซึ่งผมก็เชื่อลึกๆว่าต้องมีเพื่อนๆบางคนก็อาจจะเคยเจอปัญหานี้กันมาบ้างแหละ เดี๋ยววันนี้เราลองฟังเนื้อหาที่ผมจะนำเสนอให้เพื่อนๆฟังกันสักหน่อยนะครับ เผื่อจะช่วยแก้ปัญหาเรื่องการหมดไฟในการเทรดของเพื่อนๆให้กลับมามีไฟอีกครั้งกันครับ
คือการหมดไฟหรือว่าการ Burned Out มันเป็นเรื่องปกติที่จะเกิดได้กับทุกคนและทุกวงการไม่ว่าจะเป็น นักกีฬา นักร้อง ดารา นักเรียนนักศึกษาคนทำงานออฟฟิศทั่วไป หรือ แม้แต่การทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันก็สามารถหมดไฟได้เหมือนกัน เช่น การออกกำลังกาย การเล่นเกมส์ การพัฒนาตัวเอง หรือแม้แต่การเทรดเองก็มีการหมดไฟได้เหมือนกัน คือถ้าพูดง่ายๆ ก็คือการหมดไฟเกิดขึ้นได้กับทุกอย่างนั้นแหละครับ อาการของคนหมดไฟก็มักจะแบบไม่อยากทำอะไรเลย ไม่อยากทำสิ่งๆนั้นแล้ว เบื่อหรือขี้เกียจที่จะทำมันคือแบบไม่อยากจะทำอะไรเลยอยากนอนเฉยๆ รู้สึกเหนื่อยๆ ยกตัวอย่างเช่นการออกกำลังกาย ที่เราอาจจะมีเป้าหมายที่อยากจะหุ่นดีอยากมีซิกแพค แต่พอออกกำลังกายไปเรื่อยๆ ก็อาจจะเบื่อหรืออาจจะขี้เกียจ อาจจะเป็นเพราะการออกกำลังกายมันเหนื่อยต้องใช้วินัยสูงหรือต้องทำไประยะเวลานึงกว่าจะเห็นผลจึงทำให้อาจมีการหมดไฟเกิดขึ้นได้ แต่เรารู้นะว่าถ้าทำแล้วมันจะดีถ้าอดทนแล้วมันจะดีแต่เราก็แบบขี้เกียจทำมันอยู่ดี
หรือแม้แต่การทำงานเองที่บางงานอาจจะทำงานแบบเดิมซ้ำๆวนไปวนมาเราก็อาจจะหมดไฟกับมันได้อาจจะเป็นเพราะงานไม่มีอะไรตื่นเต้นทำแต่อะไรเดิมๆ ไม่มีอะไรท้าทายความสามารถของเรา ทำให้เราเบื่อและก็หมดไฟได้ หรือแม้บางงานที่ต้องใช้ความคิดหรือจินตนาการเยอะๆเราก็สามารถหมดไฟกับมันได้เหมือนกัน ถ้าในบางทีที่เราคิดไม่ออกก็ทำให้มันไม่ได้งานพอคิดไม่ออกก็อาจจะทำให้เราไม่อยากทำอาจจะพักนานเกิน พอกลับมาทำอีกก็ไม่มีไฟทำมันเสียแล้ว
ก่อนอื่นอาจจะต้องมาตั้งคำถามกับตัวเองก่อนว่าเราหมดไฟเพราะอะไร เช่นเราอาจจะแพ้บ่อยมากๆ หรือเราเทรดผิดทางบ่อย หรือเราควบคุมณ์อารมณ์ของตัวเองให้รอให้เป็นเย็นไม่ได้กันแน่ เพราะถ้าคุณรู้จักการบริหารความเสี่ยงอาจจะไม่มีสิ่งพวกนี้มารบกวนจิตใจ
อันดับแรกผมอยากจะให้เข้าใจแบบนี้ก่อนว่าการเทรดให้มองที่ระยะยาวมากกว่าระยะสั้น ยิ่งถ้าคุณเป็นมือใหม่ที่พึ่งเข้าตลาดด้วยแล้วละก็ ถ้าคุณใจร้อนรีบคือจบเลย ผมมีนิทานจะเล่าให้ฟังเพื่อเป็นแง้คิดเล็กๆน้อยๆนะครับ
ตัวอย่าง จากครอบครัวหนึ่ง
มีครอบครัวอยู่ครอบครัวนึง มีลูก 3 คน คนโต คนกลาง คนเล็ก อยู่มาวันนึงแม่ของลูกทั้ง 3 คนได้เสียชีวิตลง และแม่ได้แบ่งมรดกไว้ให้ลูกทั้ง 3 คน เป็นเงินคนละห้าล้านบาท ลูกทั้ง 3 คนก็มีเป้าหมายและมุมมองเดียวกันว่าจะนำ 5 ล้านที่แม่ทิ้งไว้ให้ไปลงทุน แต่ว่าลูกทั้ง 3 คนก็ไม่มีความรู้จึงต้องเริ่มศึกษาก่อน
ซึ่งแต่ละคนก็มีมุมมองในการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน เริ่มจากคนเล็กเป็นคนที่คิดน้อยและรีบร้อนอยากลงมือทำเลย จึงศึกษาแค่คร่าวๆและเริ่มลงทุนเลย ถ้าโชคดีก็อาจจะประสบความสำเร็จ และแน่นอนครับว่าถ้าศึกษาหาข้อมูลน้อยเนี่ย ก็ต้องผิดหวังเป็นธรรมดาอยู่แล้วและน้องคนเล็กก็เสียเงินเรื่อยๆเพราะว่าศึกษาไม่ดีพอและลงสนามเลย
ส่วนพี่คนโตเป็นคนที่รอบคอบแล้วเป็นคนต้องมั่นใจก่อนลงทุนเพราะไม่อยากเสียเงินไปเปล่าๆเหมือนน้องคนเล็ก พี่คนโตจึงศึกษาตลอด อ่านหนังสือ ลงเรียนคอร์สกับคนเก่งๆ และหาความรู้เรื่อยๆ และเก็บเงินที่แม่ให้ไว้ในธนาคาร
ส่วนคนกลางเป็นคนที่อยากรู้อยากลอง และก็ค่อนข้างรอบคอบ คนกลางจึงศึกษาไปด้วยและเริ่มลงทุนไปด้วย ก็มีเสียบ้างได้บ้าง อยู่แบบนี้เรื่อยๆ
หลังจากนั้น 2 ปีผ่านไป น้องคนเล็กที่เป็นคนรีบร้อนศึกษาน้อยและลงสนามจริงเลยก็ศูนย์เงินที่แม่ทิ้งไว้ให้เกือบหมดและไม่ได้เรียนรู้อะไรเลยนอกจากความศูนย์เสียเพราะความรู้เรื่องการลงทุนที่มีมันน้อยเกินไป
ส่วนพี่คนโตอย่างที่บอกว่าเป็นคนรอบคอบและไม่อยากเสียเงินเหมือนน้องคนเล็กจึงศึกษาเยอะมากๆแต่ว่าก็ยังเก็บเงินไว้ในธนาคารอยู่ยังไม่ได้นำเงินตรงนั้นมาลทุนจริงๆ
ตัดภาพมาที่น้องคนกลางที่ศึกษาไปด้วยและก็ลงสนามลงทุนจริงด้วย แน่นอนว่าน้องคนนี้ก็ผิดหวังบ้างสมหวังบ้างเป็นธรรมดาแต่ว่า 2 ปีที่ผ่านมาเขาได้ทั้งความรู้และประสบการณ์ที่ต่างจากพี่น้องคนอื่นๆ อย่างคนเล็กพอรู้คร่าวๆและลงทุนเลยผิดหวังก็เอาใหม่แต่ไม่ได้มาดูว่าตัวเองผิดพลาดเพราะอะไรส่วนคนโตมัวแต่รอให้ตัวเองพร้อมก่อนค่อยลงมือทำมีความรู้แต่ไม่มีประสบการณ์เพราะไม่เคยลงสนามจริงๆเลย ตัดภาพมาที่คนกลางลงสนามจริงด้วยหาความรู้ด้วย เวลาที่ไม่สมหวังเขาก็จะมาดูว่าพลาดตรงไหนและหาทางแก้ในจุดนั้น ทำให้เขามีทั้งความรู้และก็ประสบการณ์
แล้วเรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับหมดไฟในการเทรดกันละที่ผมจะบอกก็คือ เราควรจะทำตัวให้เหมือนลูกคนกลางที่เรียนรู้ ล้ม และก็หาข้อผิดพลาดของตัวเองเพื่อที่จะกลับมาสู้ใหม่ ถ้าเรายอมแพ้ นั้นหมายความว่าสิ่งที่เราพยายามมาทั้งหมดนั้นจะศูนย์เปล่า ถ้าเรามีเป้าหมายแล้วว่าอยากจะทำสิ่งนี้ให้สำเร็จเจออุปสรรคยากแค่ไหนก็ต้องผ่านไปให้ได้ อย่างเช่นคนที่มีเป้าหมายจะพิชิตยอดเขาเอเวอร์เรดเขารู้ว่าสิ่งที่ทำมันเสี่ยงมากและก็มีหลายคนที่ไปไม่ถึงยอดเขา แต่เขามีเป้าหมายก็ต้องทำมันให้สำเร็จอยู่ดีถึงแม้จะมีอุปสรรคยากแค่ไหนก็ตาม
การเทรดหรือการลงทุนอะไรก็ตามให้มองเป็นระยะยาวถ้าหมดไฟหรือว่าเหนื่อยพักก่อนได้ แต่เราก็ต้องกลับมาให้ไวอย่าปล่อยให้ความขี้เกียจหรือว่าความหมดไฟมาควบคุมเรา อาจจะลองคิดแบบผมก็ได้ ผมมองอะไรที่ยากๆที่พบเจอเป็นความท้าทายมากกว่าถ้าเกิดว่าเราผ่านมันไปได้เราจะเก่งขึ้นอีกระดับ หรือเอาแบบนี้ก็ให้เพื่อนๆมองไปที่กราฟและคิดว่าอันนั้นคือชีวิตของเรา พอเริ่มเทรดกราฟชีวิตเรามันก็เริ่มขึ้นมาและช่วงที่เราเหนือยหมดไฟหรือว่าท้อก็อาจจะเป็นช่วง Sideway แต่เราก็ต้องยกตัวเองขึ้นไปต่อให้ได้
เพราะถ้าเรายอมแพ้เราไม่สู้ต่อกราฟชีวิตเราหลังจากที่เป็นขาขึ้นมามันอาจกลับฝั่งไปเป็นขาลงแทนก็ได้ แบบนั้นน่าจะไม่ดีนะครับ วันไหนที่เราพลาดเราต้องรีบกลับมาให้ไว และลองดูว่าเราผิดพลาดที่อะไร เราเลือกที่จะมาอยู่ในเส้นทางนี้เราก็ต้องผ่านไปให้ได้ ตัวอย่างอย่างเช่นนักวิ่งถ้าระหว่างที่แข่งขันแล้วเกิดล้มหรือว่าพลาดขึ้นมาเขาก็คงไม่ยอมล้มอยู่แบบนั้นคงต้องหาทางลุกกลับอยู่ในเส้นทางให้ได้ไวที่สุด เพราะไม่งั้นสิ่งที่เขาซ้อมที่ทำมาทั้งหมดจะศูนย์เปล่านั้นเอง
สรุปก็คือถ้าเกิดว่าคุณหมดไฟในการเทรด วิธีการแก้ปัญหาคือคุณก็อาจจะพักก่อนเลิกคิดเรื่องการเทรดไปเลย และไปทำอย่างอื่นแทน อย่ามัวแต่เอาตัวเองไปคิดว่ารู้งี้ไม่น่าทำงั้นรู้งั้นไม่น่าทำแบบนี้ มันเกิดขึ้นแล้วมันแก้ไขไม่ได้แล้วครับคุณต้องกลับมาให้ไวรีเซ็ทใหม่และเดินหน้าต่อไปให้ได้ เพราะถ้าคุณอยู่กับความรู้สึกแย่นานๆมันไม่สามารถช่วยให้คุณพัฒนาขึ้นได้หรอกครับ ถ้าคุณเข้ามาในเส้นทางการลงทุนเพื่อที่จะประสบความสำเร็จอย่าให้อุปสรรคพวกนี้มันทำอะไรคุณได้ มันอาจจะเป็นเครื่องวัดก็ได้ว่าคุณคู่กับการเทรดหรือเปล่านั้นเองครับ ฟังมาถึงตรงนี้ผมก็ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนนะครับให้ผ่านช่วงที่แย่ๆไปได้ไวๆนะครับ